วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อาณาจักรอินคา



ประวัติการค้นพบ
อาณาจักรของพวกอินคา (Incas)
จากคำบอกเล่าของอินเดียนแดงพื้นเมืองในปานามา ทำให้ชาวสเปนทราบว่า มีอาณาจักรที่สมบูรณ์ไปด้วยทองคำอาณาจักรหนึ่ง ทางฝั่งมหาสมุทรปาซิฟิคของทวีปอเมริกาใต้ ฟรังซิสโก ปิซาโร (Francisco Pizarro) ชาวสเปนคนหนึ่งจึงได้แล่นเรือเลียบฝั่งตะวันตกของปานามาลงไปทางใต้ เพื่อค้นหาอาณาจักรอันมั่งคั่งแห่งนี้ และเขาต้องเสียเวลาถึง 3 ปี จึงได้พบอาณาจักรของพวกอินคาซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นดินแดนของประเทศเปรู ในอเมริกาใต้ ด้วยกำลังทหาร 240 คนกับมา 37 ตัวเท่านั้น ปิซาโรก็สามารถโจมตีพวกอินคาจำนวน 20 ล้านคนจนมีชัยชนะ และใช้อุบายจับกุมหัวหน้าซึ่งมีชื่อว่า อะตาฮวลปา (Atahualpa) ได้ แต่ด้วยความภักดีต่อหัวหน้า พวกอินคาจึงเจรจาขอแลกเปลี่ยนหัวหน้ากับทองคำให่เต็มห้อง ๆ หนึ่งให้สูงท่วมหัวทีเดียว ปิซาโรก็ตกลง แต่เมื่อเขาได้ทองแล้วก็ไม่ปล่อยหัวหน้าชาวอินคาให้เป็นอิสระ กลับฆ่าเขาเสีย แล้วโจมตีปล้นสดมภ์พวกอินคาและยึดครองดินแดนเป็นของตน เมื่อได้ดินแดนมาเป็นของตน ปิซาโรก็ค้นพบทองคำอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นเขายังได้ค้นพบอารยธรรมของโลกใหม่นี้ด้วย คือ ในหมู่พวกอินคานี้มีนักศิลป์ ผู้เป็นแพทย์และนักปราชญ์เป็นจำนวนมาก ปฏิทินวัน เดือน ปี พวกอินคารัดกุมกว่าที่มีอยู่ในยุโรป นักประดิษฐ์ชาวอินคาได้ประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ที่แปลก ๆ ไว้มาก มีการจัดการชลประทานด้วยวิธีใหม่ สร้างสุสานและสะพานตลอดจนถนนหนทางที่ปูด้วยหินนับเป็นจำนวนทางร้อย ๆ ไมล์ อาณาจักรของพวกอินคาได้ล่มจมลงหมดสิ้น เมื่อถูกพวกสเปนที่อยากได้ทองคำเข้าโจมตีทำลายใน ค.ศ. 1532 ผู้ชนะได้ดินแดนเป็นของสเปน แต่ทว่าเขาเหล่านั้นได้กวาดล้างอารยธรรมของชนเผ่าอินคาให้หมดสิ้นไปจากโลกอย่างน่าสลดใจที่สุด

http://www.baanjomyut.com/library/discovery_history/24.html

ชื่อสถานที่ อาณาจักรอินคา
: Inca city , Machu Picchu
สถานที่ตั้ง เมืองบคุสโซ ประเทศเปรู
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้



ใกล้ๆ เมืองคุสโซ ภูมิประเทศแสนกันดารยากจะเข้าถึง เป็นยอดสูงมีบริเวณรอบ ๆ รวมแล้วความสูงของหน้าผาประมาณ 304.8 เมตร (1,000 ฟุต) ฮิแรม บิงแฮม นักสำรวจชาวอเมริกัน ไปพบมาจุ ปิคชุ ในปี ค.ศ. 1911 บริเวณนั้นเป็นป่าใหญ่คลุมพื้นที่อยู่ นอกจากสิ่งก่อสร้าง ปรักหักพังบางส่วนที่โผล่อยู่ให้เห็นสิ่งก่อสร้างดังกล่าวบ่งบอกให้เห็นความสามารถยอดเยี่ยม เชิงสถาปัตยกรรมของชาวอินคาในอดีตที่ปรากฎก็มีโบสถ์วิหาร อ่างหินสำหรับเก็บน้ำ บันไดหินเป็นพัน ๆ ขั้น เพือเป็นทางทอดระเบียงลงไปในที่ต่าง ๆ แห่งนครผู้เขานี้

เรื่องราวการพิชิตอาณาจักรอินคาเริ่มจากปี ค.ศ. 1532 เกิดการต่อสู้วิวาทของชาวพื้นเมือง เปิดโอกาสให้ ฟรานโก ปิซาโร นักผจญภัยชาวสเปน จับหัวหน้าเผ่าอินคาชื่อ อตา ฮวลปา ไว้บังคับให้บอกที่ซ่อนทองพอรู้เรื่องก็ปล้นยึดเอาไปจากอาณาจักรอินคาแต่เป็นชัยชนะระยะสั้น ได้เกิดการสู้รบระหว่างนักผจญภัยชาวสเปนคนอื่น ๆ และปิซาโร ลงท้ายด้วยปิราโซกับพวก จำนวนมากได้ถูกสังหาร พวกชาวพื้นเมืองพยายามตีโต้ขับไล่พวกสเปนจากภูเขาที่มั่นคงแข็งแกร่งแห่งมาจุ ปิคชุ

หลังจากพวกอินคาได้ลุกฮือขึ้นต่อสู้ได้มีการตั้งผู้ปกครองคือ มานโค คาแปค ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก สมัยมานโคที่ 2 ชาวพื้นเมืองได้รวมตัวกันก่อสงครามเบ็ดเสร็จขับไล่พวกสาเปนจากภูเขาอันเป็นที่มั่น รบกันไม่นาน ฝ่ายสเปนกลับได้เปรียบ พวกชาวพื้นเมืองเผ่าอินคาถูกสังหารล้มตายลงราวกลับใบไม้ร่วง จนในที่สุดแม้ตัวมานโค ผู้เป็นหัวหน้าก็ตายในที่รบ
http://www.wonder7th.com/3inca_city.htm

อาณาจักรอินคาเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ครองดินแดนในแถบอเมริกากลางก่อนทวีปอเมริกาจะถูกล่าอาณานิคม มาชูปิกชูน่าจะถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1440-1450 ในยุคที่อินคารุ่งเรือง (ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ถึงสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) มาชูปิกชูอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,350 เมตร มีพื้นที่ประมาณ 326 ตารางกิโลเมตร ใช้หินก้อนสี่เหลี่ยมเรียงตัวเป็นอาคารโดยไม่มีการฉาบ ซึ่งยังเป็นข้อกังขาว่าชาวอินคาลำเลียงหินขึ้นไปบนยอดภูเขาได้อย่างไร ร้อยกว่าปีต่อมา ชาวสเปนเข้ามายึดครองเปรู แต่กลับไม่พบมาชูปิกชูทั้งที่อยู่ห่างจากคุซโค เมืองหลวงของอาณาจักรอินคาเพียง 80 กิโลเมตร มาชูปิกชูจึงถูกทิ้งร้างให้ปกคลุมด้วยป่าดงดิบ จนกระทั่งนักโบราณคดีชาวอเมริกันค้นพบในปี ค.ศ. 1911
ไม่มีใครแน่ใจว่ามาชูปิกชูถูกสร้างเพื่อการใด บางคนสันนิษฐานว่าอาจเป็นสุสานทอันอลังการของผู้สถาปนาอาณาจักรอินคา บ้างก็ว่าเป็นที่ลี้ภัยของชนชั้นปกครอง นักโบราณคดีมีความเห็นว่ามาชูปิกชูน่าจะแบ่งเป็น 3 เขต คือ เขตศักดิ์สิทธิ์ มีอารามที่สร้างอุทิศแด่อินติ สุริยเทพที่ชาวอินคาบูชา เขตนักบวชและผู้สูงศักดิ์ และเขตสามัญชน

http://bbznet.pukpik.com/scripts/view.php?do=form_edit_topic&board=3&id=10&user=dklibrary

กว่า 180 ศตวรรษที่ดินแดนในแถบอเมริกาถูกครอบครองโดยกลุ่มคนที่ทั่วโลกรู้จักในชื่ออินเดียแดง ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เองได้มีชนเผ่าอินเดียแดงกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่า อินคา
( INCA) มาสร้างอิทธิพลเหนือชาวอินเดียแดงทุกเผ่า
ชนเผ่าอินคายิ่งใหญ่มากจนกระทั่งก่อร่างสร้างฐานะและแผ่ขยายอาณาเขตครอบคลุมประเทศเปรูเกือบทั้งหมด จนในที่สุดก็กลายเป็นจักรวรรดิอินคา มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหลวงชื่อ กุชโก ( CUZCO ) ซึ่งมั่งคั่งและใหญ่โตไม่แพ้เมืองหลวงของประเทศแถบยุโรปในสมัยนั้น
จักรวรรดิอินคาเริ่มต้นจากชาวอินเดียแดงกลุ่มเล็กๆที่มี อินคาปาซากูติ ( INCA PACHACUTI ) เป็นหัวหน้าและมีอำนาจเด็จขาดเพียงผู้เดียวเขาเป็นนักรบผู้กล้า นำลูกเผ่ารบชนะชาวอินเดียแดงหลายเผ่าจนสามารถขยายอาณาเขตปกครองได้กว้างขวาง
เมื่อรวบรวมดินแดนได้มากพอแล้วปาซากูติจึงได้สถาปนาตัวเองขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1438 และเรียกอาณาจักรทั้งหมดว่า “ ตาฮวนติชูโย ” ( TAHUANTISUYO ) ซึ่งแปลว่า 4 ภาค โดยมี กุชโก เป็นจุดศูนย์กลางสมดังความหมายของชื่อเมือง




ไม่ว่าอินคาจะยาตราทัพไปไหน ณ สถานที่ใด เผ่าพันธุ์เดิมผู้ปกครองสถานที่นั้นก็ต้องตกอยู่ในอำนาจทั้งสิ้น ซึ่งต่อมาจักรวรรดิอินคาก็ได้ครอบครองพื้นที่ฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้ จากตอนใต้ของโคลัมเบียไปจนถึงตอนกลางของชิลี แต่ท้ายที่สุดจักรวรรดิอินคาก็ต้องล่มสลายด้วยฝีมือของนักล่าอาณานิคมอย่างสเปน ที่มี ฟรานซิสโก ปิซาร์โร ( FRANCISCO PIZZARO ) นำทหารเข้าไปยึดดินแดนและเข่นฆ่าผู้คนตายเป็นเบือ จากนั้นก็เผาทำลายบ้านเมือง สิ่งก่อสร้างที่งดงามจำนวนมากต้องพังทลายด้วยฝีมือนักล่าอาณานิคม ส่วนศิลปกรรมที่ล้ำค่าที่ทำด้วยเงินและทองก็ถูกหลอมเป็นแท่งถูกส่งไปยังสเปน นับว่าการบุกล้างทำลายครั้งนี้สเปนได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลเลยทีเดียว
ความพินาศเข้าครอบคลุมจักรวรรดิอินคาโดยรอบ แม้แต่เชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์อินคาที่ยังคงมีชีวิตอยู่พยายามกอบกู้เอกราชสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
แม้ในปัจจุบันเรื่องราวของจักรวรรดิอิคาจะคงยังเป็นที่ฉงนสนเท่ไม่น้อยของนักประวัติศาสตร์โบราณคดี กับปริศนาที่ว่าชาวอินคาที่เหลือจากการสังเวยชีวิตให้แก่สเปนนั้นหายไปไหนพวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดหรือจะเป็นที่ ชูปิกชู เมืองลับแลแห่งอาณาจักรอินคา แต่วัฒนธรรมดั้งเดิมของอินคายังคงอยู่ หากใครได้มีโอกาสได้ชมการเต้นระบำที่เปรู ได้ฟังเพลงหรืออ่านเทพนิยายของเปรู ก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายวัฒนธรรมดั้งเดิมของอินเดียแดงเผ่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
คัดลอกมาจาก... หนังสือแม็คม.ต้น


http://www.school.net.th/library/create-web/10000/history/10000-432.html



อาณาจักรสุริยเทพ

อินคา เป็นอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งซ่อนเอาความลับดำมืดเอาไว้ให้นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เค้ากุมขมับ ปวดหัวกันเล่น พวกเค้าเรียกตัวเองว่าลูกหลานแห่งสุริยเทพ มีความเคารพและศัทรธาในองค์สุริยเทพอย่างมากมายเหลือจะกล่าว เรามาดูกันนะครับว่า อาณาจักรอินคาแห่งอเมริกาใต้นี้ มีอะไรน่าสนใจบ้าง?

อินคาก็เช่นเดียวกับชาวแอ็สเท็คและมายาครับ คือเป็นอินเดียนแดงแห่งโลกใหม่ หรืออเมริกาด้วยกันทั้งนั้น แต่อินคาโชคร้ายกว่าชาวมายาตรงที่ว่า บ้านเกิดเมืองนอนและอาณาจักรของพวกเขา ถูกพวกสเปนซึ่งมีกำลังทหารเพียงหยิบมือเดียวเข้ายึดบ้านเมือง และปล้นเอาทรัพย์สินอันมั่งคั่งไปจนหมด เรื่องนี้เกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 16 หากใครสนใจพอจะมีตำราหาอ่านได้ครับ ว่าด้วยเรื่องของ มองเตสซุมา กับ อาณาจักรอินคา สนุกนะจะบอกให้
สำหรับตรงนี้แล้ว ผมคงจะไม่เล่ารายละเอียดอันยาวยืดของอาณาจักรอินคา ให้ทุกท่านฟังจนหมดหรอกครับ กลัวจะเอียนกันเสียก่อน สิ่งที่น่าสนใจกว่าประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอินคานี้ อยู่ตรงความลึกลับบางอย่าง ซึ่งนักประวัติศาสตร์ รวมทั้งนักวิชาการหลายคนก็ยังขบไม่แตก เรามาดูกันนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง
จุดเริ่มต้นก็มาจากชื่อนี่แหละครับ ชาวอินคาเรียกอาณาจักรของเขาว่า อาณาจักรสุริยเทพ (King dom of the Sun) เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ชาวอินคานับถือพระอาทิตย์ครับ และเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กษัตริย์ชาวอินคานั้น ถือว่าเป็นหน่อเนื้อโดยตรงของพระอาทิตย์เลยทีเดียวเชียว
สำหรับกษัตริย์ชาวอินคา ทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนแผ่นดินนี้ ถือเป็นสมบัติของพระองค์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ป่าไม้ ราษฎร หรือทรัพยากรธรรมชาติ จากหลักฐานทางโบราณคดีที่หลงเหลืออยู่แสดงให้เห็นว่า ชนเผ่าอินคามีความเจริญทางอารยธรรมมากจนน่าสงสัย วิหารสุริยเทพของพวกเขาใหญ่โตมโหฬารเกินไป เกินหน้าเกินตาที่ชนเผ่าที่ไม่ใช่มหาอำนาจโบราณ อย่างอียิปต์ หรือ บาบิโลเนียน จะทำได้
http://202.183.216.170/library/astro/wanich/inca.htm

ใกล้ๆ เมืองคุสโซ ภูมิประเทศแสนกันดารยากจะเข้าถึง เป็นยอดสูงมีบริเวณรอบ ๆ รวมแล้วความสูงของหน้าผาประมาณ 304.8 เมตร (1,000 ฟุต) ฮิแรม บิงแฮม นักสำรวจชาวอเมริกัน ไปพบมาจุ ปิคชุ ในปี ค.ศ. 1911 บริเวณนั้นเป็นป่าใหญ่คลุมพื้นที่อยู่ นอกจากสิ่งก่อสร้าง ปรักหักพังบางส่วนที่โผล่อยู่ให้เห็นสิ่งก่อสร้างดังกล่าวบ่งบอกให้เห็นความสามารถยอดเยี่ยม เชิงสถาปัตยกรรมของชาวอินคาในอดีตที่ปรากฎก็มีโบสถ์วิหาร อ่างหินสำหรับเก็บน้ำ บันไดหินเป็นพัน ๆ ขั้น เพือเป็นทางทอดระเบียงลงไปในที่ต่าง ๆ แห่งนครผู้เขานี้

เรื่องราวการพิชิตอาณาจักรอินคาเริ่มจากปี ค.ศ. 1532 เกิดการต่อสู้วิวาทของชาวพื้นเมือง เปิดโอกาสให้ ฟรานโก ปิซาโร นักผจญภัยชาวสเปน จับหัวหน้าเผ่าอินคาชื่อ อตา ฮวลปา ไว้บังคับให้บอกที่ซ่อนทองพอรู้เรื่องก็ปล้นยึดเอาไปจากอาณาจักรอินคาแต่เป็นชัยชนะระยะสั้น ได้เกิดการสู้รบระหว่างนักผจญภัยชาวสเปนคนอื่น ๆ และปิซาโร ลงท้ายด้วยปิราโซกับพวก จำนวนมากได้ถูกสังหาร พวกชาวพื้นเมืองพยายามตีโต้ขับไล่พวกสเปนจากภูเขาที่มั่นคงแข็งแกร่งแห่งมาจุ ปิคชุ

หลังจากพวกอินคาได้ลุกฮือขึ้นต่อสู้ได้มีการตั้งผู้ปกครองคือ มานโค คาแปค ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก สมัยมานโคที่ 2 ชาวพื้นเมืองได้รวมตัวกันก่อสงครามเบ็ดเสร็จขับไล่พวกสาเปนจากภูเขาอันเป็นที่มั่น รบกันไม่นาน ฝ่ายสเปนกลับได้เปรียบ พวกชาวพื้นเมืองเผ่าอินคาถูกสังหารล้มตายลงราวกลับใบไม้ร่วง จนในที่สุดแม้ตัวมานโค ผู้เป็นหัวหน้าก็ตายในที่รบ
http://www.jarinya.it9online.com/B5.htm



ใกล้ๆ เมืองคุสโซ ภูมิประเทศแสนกันดารยากจะเข้าถึง เป็นยอดสูงมีบริเวณรอบ ๆ รวมแล้วความสูงของหน้าผาประมาณ 304.8 เมตร (1,000 ฟุต) ฮิแรม บิงแฮม นักสำรวจชาวอเมริกัน ไปพบมาจุ ปิคชุ ในปี ค.ศ. 1911 บริเวณนั้นเป็นป่าใหญ่คลุมพื้นที่อยู่ นอกจากสิ่งก่อสร้าง ปรักหักพังบางส่วนที่โผล่อยู่ให้เห็นสิ่งก่อสร้างดังกล่าวบ่งบอกให้เห็นความสามารถยอดเยี่ยม เชิงสถาปัตยกรรมของชาวอินคาในอดีตที่ปรากฎก็มีโบสถ์วิหาร อ่างหินสำหรับเก็บน้ำ บันไดหินเป็นพัน ๆ ขั้น เพือเป็นทางทอดระเบียงลงไปในที่ต่าง ๆ แห่งนครผู้เขานี้
เรื่องราวการพิชิตอาณาจักรอินคาเริ่มจากปี ค.ศ. 1532 เกิดการต่อสู้วิวาทของชาวพื้นเมือง เปิดโอกาสให้ ฟรานโก ปิซาโร นักผจญภัยชาวสเปน จับหัวหน้าเผ่าอินคาชื่อ อตา ฮวลปา ไว้บังคับให้บอกที่ซ่อนทองพอรู้เรื่องก็ปล้นยึดเอาไปจากอาณาจักรอินคาแต่เป็นชัยชนะระยะสั้น ได้เกิดการสู้รบระหว่างนักผจญภัยชาวสเปนคนอื่น ๆ และปิซาโร ลงท้ายด้วยปิราโซกับพวก จำนวนมากได้ถูกสังหาร พวกชาวพื้นเมืองพยายามตีโต้ขับไล่พวกสเปนจากภูเขาที่มั่นคงแข็งแกร่งแห่งมาจุ ปิคชุ
หลังจากพวกอินคาได้ลุกฮือขึ้นต่อสู้ได้มีการตั้งผู้ปกครองคือ มานโค คาแปค ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก สมัยมานโคที่ 2 ชาวพื้นเมืองได้รวมตัวกันก่อสงครามเบ็ดเสร็จขับไล่พวกสาเปนจากภูเขาอันเป็นที่มั่น รบกันไม่นาน ฝ่ายสเปนกลับได้เปรียบ พวกชาวพื้นเมืองเผ่าอินคาถูกสังหารล้มตายลงราวกลับใบไม้ร่วง จนในที่สุดแม้ตัวมานโค ผู้เป็นหัวหน้าก็ตายในที่รบ
http://new7wonder.net46.net/

หลายคนคุ้นเคยกับชื่อเผ่าอินคา ทั้งจากภาพยนตร์และนวนิยาย ในภาพการต่อสู้ของชนเผาอินเดียแดงที่ยิ่งใหญ่กับผู้รุกรานผิวขาว เพื่อแย่งสมบัติล้ำค่าของเมืองแห่งทองคำนี้ Machu Picchu ได้รับการคัดเลือกจากองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็น หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์องโลกยุคใหม่ (New Seven Wonders of the World)เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ยวนใจให้คนทั่วโลกมาเยือนเปรู เพื่อเยี่ยมชมนครลึกลับที่ความความสำคัญทางโบราณคดีของอเมริกาใต้ (South America)แห่งนี้

เมืองสาบสูญแห่งอินคา (The Lost City of The Inca) ได้เปิดเผยตัวขึ้นอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) เมื่อ ฮิแรม บิงแฮม(Hiram Bingham) นักสำรวจชาวอเมริกัน จากโครงการสำรวจประเทศเปรูของ มหาวิทยาลัยเยล ได้ค้นพบเมืองโบราณที่ซุกตัวอยู่ภายใต้ป่าดงดิบบนยอดเขาสูง 2,35o เมตรจากระดับน้ำทะเล (main square) อันถูกรายล้อมไปด้วยหน้าผาสูงชัน ในประเทศเปรู ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้าง สะกดให้ผู้พบเห็นได้จินตนาการถึงอารยะธรรมที่เคยรุ่งโรจน์ที่แห่งนี้

อันที่จริงการค้นพบเมืองแห่งนี้ เป็นความบังเอิญ เพราะแท้จริงแล้ว Bingham ได้เข้ามาสำรวจดินแดนแถบนี้ เพื่อค้นหาเมืองVivambamba เมืองซึ่งชาวสเปนได้บันทึกว่า เป็นเมืองที่กษัตริย์แห่งอาณาจักรอินคาใช้ในการหลบซ่อนเมื่อครั้งที่พ่ายแพ้ให้แก่กองทัพสเปน แต่แล้วการค้นพบ Machu Picchu เมืองที่แม้แต่สปนที่ได้ครอบครองอาณาจักรอินคากว่าสามร้อยปี ยังไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของ Machu Picchu ก็ทำให้โลกต้องบันทึกการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้


ภาพ แผนที่ตั้ง Machu Picchu

ห่างไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองกุสโก(Cusco) เมืองมรดกโลกของยูเนสโก อดีตเมืองหลวงของอินคา ซึ่งเป็นทั้งศูนย์กลางการปกครอง การเมืองและการทหาร ประมาณ 70 กิโลเมตร Machu Picchu อยู่ในแถบเซาเธิร์นเซียร์ราส์ ประเทศเปรู ที่พิกัด latitude 13º7' South และ longitude 72035' West of the Greenwich Meridian ตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดีส ระหว่างภูเขา Machu Picchu กับ Huayna Picchu ในเขตของป่าอะเมซอน มีแม่น้ำอารูบัน(Urubamba) อยู่เบื้องล่าง ภูมิประเทศรายล้อมด้วยหน้าผาสูงราว 600 เมตร ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน ทำให้กลายเป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผู้ที่จะรุกรานเมืองแห่งนี้ และด้วยภูมิประเทศที่ยากต่อการเข้าถึงที่ต้องบุกป่าฝ่าดงนี่เอง จึงเป็นข้อสงสัยว่า ชาวอินคาได้ใช้วิธีการใดในการนำหินก้อนใหญ่ๆ ขึ้นไปทำการก่อสร้างเมืองที่อยู่สูงเสียดฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก และเดินทางฝ่าด่านผาสูงชันอันตรายแห่งนี้ได้อย่างไรกัน


ภาพ Machu Picchu จาก www.professorbikeybike.com

คาดกันว่า มาชูปิกชู ก่อสร้างขึ้นในยุคที่อินคารุ่งเรือง ราวปี ค.ศ. 1440-1450 (พ.ศ.1993) โดยจักรพรรดิ์ปาชากูตี(Pachacute) ผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา ชื่อของ Machu Picchu นั้นความหมายถึงภูเขาโบราณ (old mountain) มีการสันนิษฐานกันถึงช่วงเวลาและเหตุผลในการสร้าง บ้างก็ว่า Machu Picchu ไม่ใช่ชุมชนที่อยู่อาศัยหรือเมือง แต่น่าจะเป็นการก่อสร้างเพื่อพักอาศัยของผู้มีอันจะกินของชาวอินคาในยุคนั้น บ้างก็ว่านี่คือศาสนสถาน หรืออาจเป็นสุสานอันยิ่งใหญ่ของผู้สร้างอาณาจักอินคา สิ่งก่อสร้างต่างๆใน Machu Picchu ทั้ง อาคารที่อยู่อาศัย อุโมงค์ อ่างเก็บน้ำ ระบบชลประทานการปล่อยน้ำตามคลองเล็กๆเพื่อการเกษตร รูปแบบการทำเกษตรหรือการทำนาเกลือที่เก่าแก่แบบขั้นบันได หอคอยสำหรับการเฝ้ามองดูผู้รุกราน การสร้างถนน สิ่งก่อสร้างตามไหล่เขา ที่ไล่ระดับเป็นขั้นๆ ซากกำแพงหินแกรนิตสีขาว ร่องรอยของสถาปัตยกรรมทั้งหลาย นอกจากสิ่งเหล่านี้จะดูสวยงามแล้ว ยังสะท้อนถึงความหลักแหลมทางเทคนิควิทยาการก่อสร้างของชาวอินคาในยุคนั้นได้อย่างดี

จากการศึกษาของ Bingham ทำให้เชื่อว่าเมืองนี้น่าจะมีผู้อยู่ไม่กี่ร้อยคน และนี่คือพระราชฐาน ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประทับพักผ่อนในหน้าร้อนของ Pachacute กษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรอินคา ความคิดที่ว่า Machu Picchu เป็นพระราชฐานสำหรับพักผ่อนพระอิริยาบถของกษัตริย์อินคาของ Bingham สอดคล้องกับ Richard Burger จากการศึกษาหลักฐานที่ John Howland Rowe ได้พบเอกสารสำคัญเมื่อ 15 ปีก่อน เอกสารนั้นระบุว่ามีการฟ้องร้องของพระบรมวงศานุวงศ์ของกษัตริย์ Pachacute เพื่อขอกรรมสิทธิ์เหนือ Machu Picchu คืนจากรัฐบาลเปรู นอกจากนี้ นักโบราณคดียังมีความเห็นว่า Machu Picchu น่าจะแบ่งเป็น 3 เขต โดยเขตหนึ่งเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีวิหารที่สร้างเพื่ออุทิศแด่อินติ สุริยเทพที่ชาวอินคาบูชา เขตนักบวชและผู้สูงศักดิ์ และสุดท้ายเป็นเขตของสามัญชน
นอกจากนี้ในบรรดาโครงกระดูก 175 ชุดที่ขุดได้ ในบริเวณ Machu Picchu นั้น มีถึง 150 ชุดที่เป็นของผู้หญิง ทำให้ Bingham เชื่อว่า เมื่อเกิดการสู้รับกับสเปน ชาวอินคาได้นำตัวเหล่าสตรีมาหลบซ่อน ณ ที่แห่งนี้ เพื่อความปลอดภัย และให้พวกนางได้สวดมนต์ภาวนาต่อเทพเจ้าเพื่อช่วยปกป้องอินคาจากผู้รุกราน แต่เมื่อคำสวดอ้อนวอนมิเป็นผล เหล่าสตรีทั้งหลายจึงได้หลบซ่อนโดยใช้ชีวิตอยู่ ณ เมืองลี้ลับแห่งนี้ต่อไปนานราว 40 ปี จากโลกนี้ไป นอกจากนี้ จากการศึกษาข้อมูลต่างๆ รวมทั้งโครงกระดูก ทำให้ Burger กล่าวว่า ที่นี่เคยมีเหล่าจิตกรและศิลปินหลายคนเข้ามาพักอาศัย และจากโครงสร้างของกะโหลกศีรษะทำให้รู้ว่าบรรดาช่างประจำราชสำนักของอินคามีหลายเผ่าพันธุ์ อีกทั้งพบว่าสัดส่วนของสตรีต่อบุรุษมีในอัตราส่วน 3:2 และในบรรดาสตรีเหล่านั้นหลายคนมีร่องรอยการตั้งครรภ์ และเหตุว่าทำไม เมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นเมืองร้างนั้นก็เพราะว่า ด้วยความที่เมืองนี้ตั้งอยู่บนชะงอนเขาสูง จากในรูปจะเห็นได้เลยว่าสูงเสียดฟ้าเพียงใด การเดินทางที่แสนทุรกันดาร งบประมาณการก่อสร้างที่สูง มันจึงไม่ใช่เมืองที่เหมาะแก่การลงหลักปักฐานในระยะยาว

การล่มสลายของอินคา
ในยุคล่าอาณานิยม ชาวสเปน (Spanish) ได้เดินทางจากปานามาเพื่อสำรวจดินแดนทางใต้ และค้นพบจักรวรรดิอินคาโดยการนำของนายพล ฟรานโก ปิซาโร (Francisco Pizarro) การปิดฉากของอาณาจักรอินคาเกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1532 หลังจากที่ Pizarro ได้มาสำรวจดินแดนแห่งนี้มาแล้ว 2 ครั้ง และด้วยกำลังทหารไม่ถึง 200 คน ดูเหมือนไม่มากมายนักเมื่อเทียบกับเหล่านักรบอินคาราว 6,000 คน แต่ทว่าชาวอินคาในเวลานั้นกำลังอ่อนแอทั้งจากการระบาดของโรคฝีดาษ และจากสงครามแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างอวสการ์กับอาตาอวลปาที่เพิ่งจบลง และที่ย่ำแย่ที่สุดคือ อาวุธและยุทธวิธีในการรบที่ล้าหลังเหล่าผู้บุกรุกอย่างมาก นี่เองที่ทำให้กองกำลังจากสเปนเพียงน้อยนิด จึงสามารถมีชัยเหนือชาวอินคาได้โดยง่าย สเปนได้สังหารจักพรรดิอะตาฮวลปา ผู้ที่กำลังจะเข้าพิธีสถาปนาเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 6 หลังจากนั้น ชาวสเปนได้เข้ามามีอิทธิพลและบงการการเมืองการปกครองของชาวอินคาเรื่อยมา แม้จะมีความพยายามกอบกู้เอกราชจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์อินคารุ่นต่อๆมา แต่ไม่ว่าจะลุกขึ้นสู้สักกี่ครั้งก็ไม่สามารถทวงคืนอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของตนคืนได้ จนกระทั่งถึงจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือโอรสองค์ที่ 3 ของจักรพรรดิแมนโคอินคา ทรงพระนามว่า ทูปาอะมารู ได้ถูกทหารสเปนปลงพระชนม์ หลังจากนั้นสเปนก็ได้ยึดครองอินคาอย่างเบ็ดเสร็จ ท้ายสุดจักรวรรดิอินคา (Inca Empire ) ที่เคยรุ่งเรืองมานานนับพันๆปีก็ล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1572อินคา

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อารยธรรมกรีก - โรมัน



อารยธรรมกรีก-โรมัน
อารยธรรมกรีกโบราณ
ในเขตทะเลเอเจียนมีอารยธรรมมาแล้วเมื่อ 3000 ปีก่อนค.ศ. แต่มียุคที่มีอารยธรรม รุ่งเรืองที่สุด เห็นจะเป็นตั้งแต่เมื่อ 2000 ปีก่อนค.ศ. เป็นต้นมา ขณะที่พวก อินโด-ยุโรเปี้ยนเข้าไปในเยอรมัน โกล (Gaule, ฝรั่งเศส) อังกฤษ ยุโรปกลาง อิตาลี มีเหตุการณ์เช่นเดียวกัน คือ มีผู้คนอพยพมาจากบอลข่านมาอยู่แถวเฮลลาดโดย ผ่านมาทางอิลลีรี และเอปีร์ นับเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของพวกเฮลเลนในทะเล เมดิเตอร์เรเนียน พวกนี้เป็นนักรบ รูปร่างสูงใหญ่ ผมสีทอง ร่างกายแข็งแรงมี กล้ามเนื้อเป็นมัด เราเรียกพวกนี้ว่า เอเชียน มาขับไล่ชนพื้นเมืองเดิมคือ พวก เปลาจออกไปและยังเข้าไปในกรีกภาคกลางและเปโลโปนิซุส (Peloponesus) พวกเอเชียนมิ ใช่คนป่า เขาได้นำภาษาใหม่มาใช้คือภาษากรีกโบราณและเกาะไซปรัส ได้ใช้ภาษานี้ต่อ มาอีกนาน เขานำการสร้างห้องโถงใหญ่ การสร้างหลังคาแบบลาดลงมาสองด้านเหมือน หลังคาบ้านไทย ซึ่งแตกต่าจากหลังคาแบบอารยธรรมเมดิเตอร์เรเนียนเดิมที่เป็นเท อเรซ พวกเอเชียน รักษาลักษณะเดิมของพวกเขา คือการใช้อาวุธอย่างดี การมีเทคนิคใน การขี่ม้าและใช้รถม้าในการรบ อารยธรรมครีตเข้ามาในดินแดนเฮลลาด โดยพวกเอเชียน อารยธรรมครีตนั้นเราเรียกว่า อารยธรรมมิโนเอน (minoaenenne) หรือมิโนส (minos)
1. อารยธรรมมิโนส (Minos)
2. อารยธรรมไมเซเนียน (Micaenean)
3. อารยธรรมโฮเมอร์ (Homer)


อารยธรรมมิโนส (Minos: 1700-1400 ก่อนค.ศ.)
มิโนส เป็นกษัตริย์ของเกาะครีต เป็นลูกของพระเจ้าเซอุส (Zeus) และพระนาง ยุโรป (Europe) มีสัญลักษณ์ประจำพระองค์เป็นรูปวัว ตามตำนานเล่าว่าพระองค์เป็น กษัตริย์ที่รักศิลปะ ในรัชสมัยของพระองค์มีศิลปินหลายคนที่สำคัญ คือ เด ดาล (Dedale) ผู้แต่งเรื่อง "ทางปริศนา" (Labyrinthe) และเรื่อง "วัวสัมริด" อักษรที่ใช้จากที่พบในแผ่นดินเหนียว พบว่าเป็นตัวอักษรแบบที่ เรียก ว่า lineaire A ประกอบด้วยอักษรประมาณ 90 ตัว ไม่ทราบที่มาเช่นเดียวกับตราดิน เหนียวทรงกลมมีรูปและอักษรสลักอยู่ อารยธรรมมิโนส รุ่งเรืองที่สุดที่เมืองคนอสโซส (Knossos) ผู้ครองเมืองดำรงฐานะ เป็นพระ-กษัตริย์ มีการสร้าง พระราชวังแบบใหม่ ขนาดใหญ่และซับซ้อนคล้ายทาง ปริศนา ที่คนอสโซส ไฟโตส และอักเฮียเทรียดามีระบบบริหารทางการเมือและเศรษฐกิจ เป็นแบบรวมอำนาจอยู่ที่ส่วนกลางดังเช่นในอียิปต์ ฐานะของสตรีสำคัญมากในสังคม ประมาณ 1600 ปีก่อนค.ศ. เกิดแผ่นดินไหว ทำลายพระราชวังที่คนอสโซสลงถึง 2 ครั้ง เเละเมื่อ 1500 ปีก่อนค.ศ. พวกเอเชียนมาจากฝั่งทวีปเข้ามาตั้งรกรากบนเกาะครีต ( เกิดราชวงศ์เอเจียน) นำตัวอักษร lineaire B มาใช้ด้วย (อักษรกรีกปัจจุบัน) การจัดระเบียบทางสังคม เป็นแบบกลุ่ม พรรคพวก พี่น้อง หรือ genos มีหัวหน้าครอบ
ครัวเป็นผู้นำอาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านหรืออยู่ในบ้านใหญ่รวมกัน เมื่อสมาชิก ใน genos เสียชีวิตก็จะฝังในที่ฝังศพแบบครึ่งวงกลมร่วมกันพร้อมกับอาวุธ แจกัน เครื่องประดับ แม้ว่าภายหลังจะแยกหลุมศพเป็นของแต่ละคนแบบในปัจจุบัน แต่ก็ยังมี โอ่งใหญ่ใช้เป็นที่เก็บศพเด็กๆ ฝังรวมกันอยู่ หลังสุดจึงเกิดสุสานขึ้นที่เมือง
ซาเฟอร์-ปาปูรา (Zafer-papoura) ทางด้านการเมือง ราว 2000 ปีก่อนค.ศ. เป็นแบบ"สังคมวัง" กล่าวคือ รอบพระราชวัง เป็นเมืองเล็กบ้างใหญ่บ้างของเจ้าของที่ดินหรือพ่อค้าที่ร่ำรวย มีลักษณะการ สร้างที่แปลกกว่าที่อื่น บ้านเหล่านี้สร้างติดกับรั้วพระราชวังเลย บางเมืองไม่ มีพระราชวังอยู่ในบริเวณ เช่นตามเมืองเล็กๆ ที่ประกอบการอุตสาหกรรม เช่นเมืองกู ร์เนีย ที่อยู่อาศัยของคนจะเป็นลักษณะแคบ ปลูกติดๆ กันตามริมฝั่งถนนที่ปูด้วย แผ่นหิน หรือริมถนนแคบๆ ที่มีบันไดเป็นระยะไป ลักษณะพิเศษอีกอย่างของอารยธรรม ครีต คือ ทั้งพระราชวังและเมืองจะปราศจากกำแพงเมือง ซึ่งเป็นลักษณะตรงข้ามกับ เมือง สมัยอารยธรรมไมเซเนียนและเมืองทางเอเชีย อาจเป็นว่าคนในแถบนี้มุ่งมั่นทำ แต่การค้าระหว่างกัน ไม่ปรากฏว่ามีการรบพุ่งกัน และครีตเองก็มีอำนาจทางทะเลมาก ความร่ำรวยของครีตบ่งถึงอารยธรรมมิโนเอียน คือ รสนิยมในเรื่องความสุขสบายและความสวยงาม ความหรูหรา การชอบงานรื่นเริง และการมีชีวิตอยู่ที่ดี เมื่อราชวงศ์
เอเชียนเริ่มขึ้นที่ครีต จึงมีการรวมอำนาจมาไว้ที่ส่วนกลาง รวมทั้งด้านการเงิน และผลิตผลต้องมารวมอยู่ในพระราชวัง ที่คนอสโซสจะมีกลุ่มคนที่ช่วยพระราชาบริหาร ประเทศ มีพวก สคริป (Scribes) ทำหน้าที่ทางด้านการจดบันทึก และทำบัญชี ผลิตผล ของพระราชวัง โดยจดลงบนแผ่นดินเหนียว ภายใพระราชฐานจะมีอาคารสำหรับเก็บผลิตผล สร้างเป็นอาคารใหญ่มีทางเดินอยู่กลางยาว 60 เมตร สองข้างเป็นช่องหินสำหรับใส่ โลหะมีค่า ของมีค่า บางแห่งวางโถใหญ่ (Pithoi) บรรจุเมล็ดพืช เช่น ถั่ว ผลไม้ ตากแห้ง น้ามันมะกอกและเหล้าองุ่น ของพวกนี้ใช้สำหรับเลี้ยงดูข้าราชสำนัก และ ใช้จ่ายแทนเงินในพิธีทางศาสนา จ่ายเป็นเงินเดือนข้าราชการ คนงานและช่างฝีมือ ของจากวังที่ทำด้วยเซรามิค กระเบื้อง เครื่องเงินทอง หินมีค่า ผลิตภัณฑ์ของช่าง เหล่านี้จะถูกประทับตราพระราชวงศ์ และส่งออกขายยังประเทศเพื่อนบ้าน กองทัพครีต
มีพระราชาเป็นผู้นำทัพ และใช้ทหารจ้างผิวดำมาเป็นทหาร สังเกตได้ว่ามีการบริหาร บ้านเมืองแบบอียิปต์
ทางด้านศาสนา เกี่ยวกับพระราชวงศ์อีก ลักษณะพิเศษของครีตอีกอย่างก็คือ บนเกาะ ครีตไม่มีวัด เวลามีพิธีทางศาสนาจะทำ กันตามถ้ำในภูเขาสูงหรือในห้องพิธีทาง ศาสนาของราชวัง ที่เป็นห้องขนาดย่อม พระราชาผู้เป็นทั้งพระและกษัตริย์ก็จะเสด็จ มาทำพิธี ดังที่กล่าวมาข้างต้นว่าชาวทะเลเอเจียนนับถือรูปปั้นผู้หญิงมาแต่ดั้ง เดิม ครีตก็เช่นกัน แต่สมัยนั้นเป็นรูปปั้นผู้หญิงคนเดียว เรียกกันว่า เจ้าแม่ เช่นเดียวกันประเทศในเอเชียตะวันออกสมัยโบราณ ส่วนมากรูปปั้นเจ้าแม่จะอยู่ใน ลักษณะเปลือย คาดว่าคงเป็นธรรมเนียมทางศาสนา เพราะคนธรรมดาแต่งตัวอย่างสง่างาม ด้วยเสื้อที่ปกปิดมิดชิด การที่คนนับถือเจ้าแม่ทำให้สังคมยกย่องสตรี ครีต เสรีภาพสตรีในการที่จะไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ มีบทบาทสำคัญ ในพิธีทางศาสนา ต่อ
มาผู้ชายสร้างพระเจ้าขึ้นมา แต่ก็ยังเป็นรองเจ้าแม่ เพราะจะออกมาในฐานะเป็นลูก ชายของเจ้าแม่และมีวัวกระทิงเป็นสัญลักษณ์
ทางด้านศิลปะและอารยธรรม มีการสร้างพระราชวังให้ใหญ่โตขึ้น และตกแต่งสวยงามขึ้น พร้อมกับมีระบบส่งน้ำที่สมบูรณ์แบบเพื่อรับน้ำฝน และมีที่กรองน้ำเสีย อีก ทั้งยังมีห้องน้ำห้องส้วมและท่อน้ำเสีย ซึ่งแม้แต่ที่พระราชวังแวร์ซายยังไม่มี จิตรกรรมฝาผนังเป็นที่นิยมกันมาก ภาพที่วาดเป็นภาพสัตว์บกและสัตว์น้ำ ส่วนห้อง ต่างๆ ในพระราชวังที่คนอสโซส เป็น ภาพชีวิตในวัง สมัย 1600 ปีก่อนค.ศ. งานศิลปะ มีลักษณะเป็นงานเป็นการขึ้น เช่นมีรูปขบวนนักบวช สตรี นักดนตรี และคนถือของถวาย พระ สมัยนี้มีการปั้นแบบนูนต่ำระบายสี ส่วนมากมักเป็นรูปหัววัวกระทิงและเจ้าชาย กับดอกไม้ ภายหลังประมาณ 1500 ปี ก่อนค.ศ. ภาพจิตกรรมฝาผนังมีลวดลายค่อนข้าง แข็ง ในเรื่องของเซรามิค มีแจกันที่นิยมทำแบบมีสามหูอยู่ใกล้คอแจกัน สีที่ใช้ คือสีน้ำตาลหรือดำบนพื้นอ่อน ภาพที่วาดบนแจกันเป็นภาพจากธรรมชาติและภาพเกี่ยว กับทะเล เช่น หอย ประการัง ฯลฯ ความงดงามและละเอียดอ่อนทางด้านศิลปะที่ชาวครีต สมัยจักรวรรดิมิโนสผลิตขึ้นมา รวมทั้งการใช้วัตถุที่มีค่าในการทำเครื่องประดับ สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ และจินตนาการของพลเมืองครีต ทางด้านวรรณคดี ไม่ปรากฏว่ามีเอกสาร ที่พบมีแต่การจดบันทึกในราชการ ดูลักษณะการเขียนแล้วพบว่า ชาวครีตเจริญกว่าชาวเกาะเพื่อนบ้าน ต้นกำเนิดของอารยธรรมครีตมาจากไหน อารยธรรมครีตมากับชาว

เอเซียที่เข้ามาอยู่บน เกาะครีตเมื่อ 3000 ปีก่อนค.ศ. มาแล้ว โดยพวกนี้ นำการใช้ทองแดงมาเป็นอย่างแรก ต่อจากนั้นเป็น เทคนิคการทำแจกันด้วยหินและการทากระเบื้องลวดลายต่างๆ เช่น แมว ลิง ต้นหญ้า ปาปิรุส การใช้สีแดงสำหรับผู้ชาย สีขาวสำหรับผู้หญิง ศิลปะในการ หล่อโลหะ การทหารและการปกครองมาจากอียิปต์ แต่อิทธิพลจากเอเซียตะวันออกมี มากกว่าและ สำคัญกว่าโดยเฉพาะด้านศาสนา เช่นการนับถือเจ้าแม่ สัญลักษณ์ที่เป็น รูปนก ขวานสองคม แก้ว รูปสัตว์พิธีบวงสรวงวัวกระทิง การละเล่นต่างๆ การกีฬา ต่อสู้กับสัตว์ และรูปเจ้าแม่ที่มีสัตว์ป่าขนาบทั้งสองข้าง สถาปัตยกรรมครีตได้รับอิทธิพลมาจากพระราชวังของพระเจ้าซาร์กอน (บาบิโลเนีย) และ ของพวกฮิตไทแห่งเมโสโปเตเมีย เครื่อง ประดับมีค่าระบุอิทธิพลมาจากเอเซียโดย เฉพาะเทคนิคการล้อมจี้ห้อยคอด้วยผึ้ง 2 ตัวของมาลเลีย (Mallia) ลายผ้าเป็นแนว และการปีกผ้าเป็นของตะวันออก ภาพการแต่งตัว ของสตรีด้วยอาภรณ์อันสวยงาม ปรากฏ ว่าเป็นการแต่งตัวของคนเมืองกิช (Kish) ในเมโสโปเตเมีย การสลักหินอ่อน การบูชา ดวงอาทิตย์มาจากเอเซียตะวันออก ฯลฯ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างจะถูก นำมาจากที่ต่างๆ แต่เมื่อมาผสมผสานกันแล้วก็กลายเป็นมีลักษณะเฉพาะของครีต โดย เฉพาะทางด้านศิลปะและศาสนา

อารยธรรมไมเซเนียน (Micaenean : 1400-1200 ปีก่อนค.ศ.)
เมื่อตอนที่พวกเอเชียนเข้ามาอยู่ในกรีกราว 2000 ปีก่อนค.ศ. นั้น พวกเขาไม่รู้ เรื่องเกี่ยวกับทะเลเลย แต่ได้เรียนรู้ในภายหลังเมื่อ สมัยเข้าไปตั้งราชวงศ์ อยู่ที่ครีตแล้ว และก็ได้มีเส้นทางเดินเรือเปิดความสัมพันธ์ระหว่างอียิปต์กับไม ซีเนีย (Mycenae) บนเกาะเปโลโปนิซุส (Peloponnesus) เมื่อคนอสโซสถูกทำลายลง
ราว 1400 ปีก่อนค.ศ. ทิ้งไว้แต่ร่องรอยของอารยธรรมมิโนส งานศิลปะ เสื่อมลงทีละ น้อย ชาวครีตอพยพไปอยู่เกาะไซปรัสและทางเอเชียตะวันออก บางพวกไปอยู่อียิปต์ เมื่อพวกเอเชียนเข้ามาแทนที่ทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากบนเกาะครีต เพราะ เอเชียนซึ่งมีเชื้อสายนักรบ มักชอบอะไรที่แข็งแรงเพื่อให้เป็นเครื่องหมายของ ความเป็นใหญ่ จึงสร้างป้อมปราการใหม่ให้ดูใหญ่โตน่าเกรงขาม ผนังห้องมีภาพ จิตรกรรมฝาผนังภาพ ผู้หญิงแต่งตัวด้วยเครื่องประดับมากมาย ภาพการล่าสัตว์และ ภาพการออกรบ เหล่านี้เข้ามาแทนที่ภาพทิวทัศน์ที่เน้นดอกไม้ ความอ่อนโยนในศิลปะ แบบครีตหายไป ความแข็งของลายเข้ามาแทนที่ลวดลายบนแจกัน จะนิยมลายเรขาคณิต เกิด ลายสัตว์ 4 เท้า นก รูปนักรบไว้เครา แต่เส้นลายก็ยังแข็งเป็นลักษณะเฉพาะของสมัย นี้ (1200-1100 ก่อนค.ศ.) ส่วนศิลปะในการสลักหินอ่อน การทำเครื่องเงินเครื่อง
ทอง กลับทำอย่างประณีตบรรจง ยังคงเป็นงานที่ใช้เน้นเงินเน้นทองลงบนเหล็กตามวิธี ของครีตที่มีมา อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วศิลปะไมเซเนียนก็เป็นศิลปะที่แพร่ หลายอยู่ทั่วไป ค่อนข้างเป็นอุตสาหกรรมด้วยซ้ำ โรงผลิตงานศิลปะมีอยู่หลายแห่งใน เมืองต่างๆ และรอบพระราชวัง เส้นทางคมนาคมมีทั่วกรีก การติดต่อทางทะเลมีมาก ขึ้น มีการผลิตและ ส่งแบบจำนวนมาก เพราะมีลูกค้าต้องการมาก คุณภาพทางศิลปะจึงลด ลง อีกอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นลักษณะของนักรบ และการปกครองแบบเพศชายเป็นผู้นำ ของอารยธรรมพวกเอเชียน คือ ผู้หญิงจะไม่ออกจากฮาเร็มเลย เทพเจ้าเป็นเพศชายและ มักเป็นนักเดินเรือ เจ้าแม่ลดความสำคัญลงไป เรื่องเล่าเกี่ยวกับวีรบุรุษที่ชนะ สงครามตามที่ต่างๆ ขณะเดียวกับที่ด้านการศาสนาดั้งเดิมของเกาะครีตยังคงทิ้งร่อง รอยไว้ให้เห็นกันในสมัยต่อมา ไม่ว่าจะเป็นพิธีทางศาสนาที่เกี่ยวกับสตรี และ
เรื่องเร้นลับของชาวครีต แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ชีวิตอย่างรื่นรมย์ของ ชาวครีต สมัยอารยธรรมมิโนส ได้อันตรธานไปและการเขียนหนังสือก็ได้หายไปอย่างสิ้น เชิง หลังจากที่ชนะได้ครองกรีกและเกาใกล้เคียงแล้ว พวกเอเชียนที่อยู่ในถิ่น กันดารของเฮลลาด ก็เริ่มออกแสวงหาถิ่นทำกินที่ดีกว่าตามริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์
เรเนียน พวกนี้ไม่ได้ทำการค้าขายอย่างเดียวเหมือนพวกครีต พวกเขาพยายามตั้งหลัก แหล่งทำการค้าและมีอำนาจทางการเมืองด้วย โดยเฉพาะมีอำนาจเหนือเกาะต่างๆ และมี อำนาจในเอเชีย พวกเอเชียนเริ่มด้วยการครองเกาะโรด เข้าไปสร้างเมือง ต่อไปเป็น เกาะไซปรัส ซึ่งเคยถูกพวกครีตครองอยู่บางส่วนแล้ว ที่นี่พวกเอเชียนนำภาษาของตน เข้ามาผสมกับภาษาอียิปต์และภาษาในซีเรีย มีการแลกเปลี่ยนทางการค้า มีผู้พบแจกัน ไมเซเนียนถึงนูเบียและคานาน ตลอดชายฝั่งซีเรียซึ่งเมื่อก่อนก็ได้รับอารยธรรม ครีตอยู่แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ศูนย์กลางการค้าขายเกิดขึ้นเต็มไปหมด เมืองอูการ์ ทกลายเป็นอาณานิคมไมเซเนียน แต่ที่พวกเอเชียนชอบมาก คือ ที่ริมฝั่งทะเลของอนาโต เลีย (ตุรกี) พวกเขามาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นี่ ทำตัวเป็นโจรสลัดในทะเลเอเจียน แต่เป็นมิตรดีกับพลเมืองในผืนแผ่นดิน โดยเฉพาะกับพวกฮิตไท เราจึงพบร่องรอยทาง วัตถุ เช่น ตราประทับสฟิงซ์ ที่ฮักเฮียเทรียดา (Haghia Triada) แผ่นจารึกที่พบ บอกเราว่า รัฐของพวกเอเชียนนั้นยิ่งใหญ่เท่ากับอียิปต์ และยังกล่าวว่ากษัตริย์ ของพวกเขาชื่อ Attarassias มีอำนาจทางทะเลมาก มีเรืออยู่ในครอบครองถึงหนึ่งร้อย ลำ เป็นที่น่าแปลกที่พวกไมเซเนียนไม่สนใจที่จะไปแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวัน
ตก ดังเช่นชาวครีตเคยทำมา แต่กลับมีร่องรอยทางวัตถุของไมเซเนียนอยู่ตามเกาะ ตะวันตก คือ ตราประทับแบบเอเจียนที่เกาะซาร์ดิเนีย ที่หมู่เกาะบาเลอาร์มีพิธี ทางศาสนาที่เกี่ยวกับวัวกระทิง มีขวานสองคมและเขาสัตว์ที่ใช้บูชาสิ่งเหล่านี้ อาจผ่านตัวกลาง เช่น พ่อค้าต่างๆ อย่างไรก็ตามก็แสดงถึงอิทธิพลเอเชียนในถิ่น
นี้ และบอกให้เราทราบว่าพวกกรีก สมัย 1000 ปีก่อนค.ศ. ลืมเส้นทางเดินเรือและการ ค้าแถบนี้จนกระทั่งถึงประมาณ 630 ปีก่อนค.ศ.

อารยธรรมโฮเมอร์ (Homer: ประมาณ 900 ปีก่อนค.ศ.)


พวกดอเรียนเข้ามารุกรานจนถึงดินแดนกรีกโบราณประมาณ 800 ปีก่อนค.ศ. เป็นสมัยที่ เราไม่ค่อยมีหลักฐาน เกี่ยวกับกรีกเป็นเวลานานถึง 4 ศตวรรษ นอกจากบทประพันธ์ของ โฮเมอร์ (Homer) ซึ่งมี 2 เล่ม คือเอเลียดและโอดิสซี พูดถึง เรื่องราวและบุคคล ต่างๆในสมัยไมเซเนียนปะปนไปกับเรื่องราวของสงครามเมืองทรอย และอารยธรรมของ ไอโอเนียน และเอโอลิค สมัย 900 ปีก่อนค.ศ. ซึ่งนับเป็นหลักฐานทางประวัติศาตร์ ที่สำคัญแต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง โดยทั่วๆไป เรายอมรับว่าอารยธรรมนี้ อยู่ ประมาณ 900 ปีก่อนค.ศ. ภาษาที่เขียนในบทประพันธ์โฮเมอร์คล้ายภาษาเอโอเลียน มี ศัพท์บางตัวมาจากภาษาไอโอเนียน
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเป็นไปในลักษณะลึกซึ้งมีขึ้นเมื่อพวกดอเรียน นักรบ ผู้ชำนาญในการใช้ม้าและอาวุธเหล็ก เข้ามารุกรานพวกเอเชียน พวกดอเรียนมีศิลปะใน การรบเหนือกว่าพวกเอเชียนทั้งๆ ที่ดั้งเดิมมาจากเชื้อสายเดียวกัน คือ ชาวอินโด- ยูโรเปี้ยน แต่พวกเอเชียนมาได้รับอารยธรรมเอเจียนก่อนหลายศตวรรษ เครื่องนุ่งห่ม ของพวกดอเรียนทอด้วยขนสัตว์ เรียกว่า ชไลนา หรือ เปโปล มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม
ผืนผ้าธรรมดา จับจีบติดด้วยเข็มกลัด นับว่าแตกต่างจากเครื่องนุ่งห่มของพวกที่ ได้รับ อารยธรรมเอเจียนที่มีเสื้อผ้าหรูหรา เน้นรูปทรงที่เอว แม้แต่ทาง สถาปัตยกรรมตกแต่งอันสวยงามแบบเอเจียนที่มีอยู่ต่อจากนี้ไป ก็ไม่มีใครสนใจ วัด กับวังจะแยกจากกันไม่อยู่ในบริเวณเดียวกันเหมือนแต่ก่อน การสร้างวังก็ไม่พิถี พิถัน สร้างแบบง่ายๆ เป็นห้องโถง ธรรมดาและมีห้องติดต่อกันอีก 2-3 ห้อง ผังของ ห้องโถงเป็นลักษณะห้องยาวมีทางเดินเข้า ใช้เป็นห้องประดิษฐานเทพเจ้าต่างๆ ผัง เมืองสร้างคล้ายตาหมากรุก มีถนน 2 สายตัดกันเป็นมุมฉาก ตรงทางแยกเป็นศูนย์กลาง ของเมืองทั้งทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางศาสนา
ทางด้านศาสนา มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ เทพเจ้าของทางผืนแผ่นดินเข้ามา แทนที่เทพเจ้าทางทะเลของพวกเอเชียน และเทพเจ้าแห่งท้องฟ้ามาแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของแผ่นดิน เทพเจ้าของกรีกตั้งแต่สมัยนี้เป็นต้นไปจะต้องหนุ่มและรูปร่างงาม ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทพเจ้าเป็นไปในทางสังเวยและอธิษฐาน ความเร้นลับ น่ากลัวที่ได้รับมาจากตะวันออกและปนมากับศาสนา สมัยนี้การเผาศพเปลี่ยนไปเป็นฝังคนตายแทน ไม่มีประเพณีระลึกถึงคนตาย ไม่มีของบูชาให้คนตาย และไม่มีการทำหลุมศพ ขนาดใหญ่ การละเล่นยังคงเหมือนเดิมจากที่รับถ่ายทอดมา แต่จุดประสงค์มุ่งเพื่อคน ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีการเชื่อเรื่องเบื้องบนศาสนาของชาวกรีกกลายเป็นศาสนา ที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์ และเป็นแบบเทพนิยาย เป็นการดึงคนให้ออกมาจากความเชื่อ ในสิ่งที่เกินธรรมชาติแบบโบราณ และจากความหวาดกลัวกับเรื่องที่ว่าตายแล้วไป ไหน
ทางด้านศิลปะ ของอารยธรรมโฮเมอร์ เรารู้ไม่มากนัก แรกเริ่มเข้าใจว่าเป็นแบบไมเซ เนียน จนกระทั่ง 800 ปีก่อนค.ศ. จึงเกิดรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกกันว่า ซัว นา (Xoana) ที่ทำขึ้นมาอย่างหยาบๆ ด้วยดินเหนียวบ้าง สัมริดบ้าง งาช้าง หรือ ตะกั่วบ้าง ล้วนรับอิทธิพลมาจากตะวันออก ในเรื่องของเซรามิค ก่อนหน้าที่จะมี แจกันลายเรขาคณิตไม่ปรากฏว่ามีแจกันอย่างอื่น แจกันที่งามที่ ปัจจุบันถือว่ามี ค่าที่สุด เป็นแจกันของดีไพลอน (Dipylon) ได้มาจากหลุมศพที่เอเธนส์ แจกันนี้สูง ถึง 1.75 เมตร มีลายดำบนพื้นสีอ่อน เป็นลายซิกแซก ลายหมากรุกหรือลายคดเคี้ยว ลายขบวนแห่งานศพ ลายรถลากด้วยม้าเรียงกันเป็นแถว ลายการต่อสู้ทางทะเล ทุกลายมี การวางภาพได้อย่างสวยงาม นับเป็นลักษณะเด่นของศิลปะโฮเมอร์
ทางด้านการปกครอง มีการจัดระบบการปกครองใหม่ด้วยการยุบการปกครองแบบกลุ่มมาเป็น
นครรัฐ หรือที่เรียกว่า โปลิส (Polis) โดยสร้างตรงที่เป็นพระราชวัง เดิมของพวก ไมเซเนียน ล้มเลิกสังคมที่มีกษัตริย์และนักรบ มาเป็นสังคมที่มีชนชั้นขุนนาง เจ้าที่ดิน ระบบกษัตริย์ให้มีแต่ในเขตชายแดน เช่น เอปีร์ และมาซีโดเนีย

แหล่งสืบค้น

http://social-ave.blogspot.com/2010/03/blog-post_2121.html
http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?category=110&id=14767
http://www.eduzones.com/knowledge-2-4-43920.html
http://rickszcruise.wordpress.com/page/2/